เทศน์พระ

บ้องตื้น

๑๑ ก.ค. ๒๕๕๗

 

บ้องตื้น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราบวชมาเป็นพระสงฆ์ เห็นไหม นี่สัจธรรม บวชมาเป็นพระสงฆ์เพราะเหตุใด บวชมาเป็นพระสงฆ์ด้วยธรรมวินัย ถ้าไม่มีธรรมวินัย นี่ญัตติจตุตถกรรม ถ้าไม่มีการญัตติเป็นพระขึ้นมา ญัตตินี่มันเป็นอย่างไร เป็นสังฆกรรม เห็นไหม ฟังธรรมๆ เพราะเราเกิดจากธรรมะ เกิดจากธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาเป็นสมมุติสงฆ์ นี่เกิดมาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ เวลาให้กรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งที่เป็นชัยภูมิที่ให้เราศึกษาให้เราค้นคว้า ถ้าเราศึกษาค้นคว้า บวชมาแล้วเพื่อประพฤติปฏิบัติ บวชมาแล้วเพื่อชำระล้างกิเลส บวชมาแล้วเพื่อสัจธรรม

ถ้าบวช สัจธรรม เห็นไหม เราตั้งสติปัญญาอย่างนี้ เราตั้งใจ เราตั้งสติเพื่อใช้อบรมปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาเราจะทำสัจจะความจริงขึ้นมาได้ในหัวใจของเรา ถ้าเราทำหัวใจของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์ธัมมจักรฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นี่มันเกิดจากสิ่งใด เกิดจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ แต่เวลาปัญจวัคคีย์ฟังเทศน์ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไตร่ตรองตาม มีสติมีปัญญาไง ถ้ามีสติปัญญาใคร่ครวญไปนี่สัจธรรมอันนี้มันจะเกิดขึ้นกับในใจ ถ้าเกิดขึ้นจากในใจ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ

ถ้ากิเลสมันอยู่ที่ใจ เวลาเราทุกข์เรายากใจมันทุกข์มันยาก ถ้าใจมันทุกข์มันยากเราจะประพฤติปฏิบัติ เราบวชเป็นพระมา เห็นไหม เราหาครูหาอาจารย์ของเรา ถ้าเราลงใจกับองค์ใด เวลาเราไปอยู่ที่ใด ถ้ามีอุปัชฌาย์ๆ จะเป็นอุปัชฌาย์ของเรา ถ้าอุปัชฌาย์เสียชีวิตไป หรือว่าเราพลัดพรากจากอุปัชฌาย์นั้นไป เราจะไปถือนิสัยอาจารย์

เราจะแสวงหาครูบาอาจารย์ไง ถ้าแสวงหาครูบาอาจารย์ เราแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นสัจธรรม ท่านดำรงชีวิตของท่าน จะพูดทีเล่นทีจริงก็แล้วแต่มันจะมีธรรมออกมาจากเสียงนั้น มันจะมีธรรมออกมาจากใจดวงนั้น แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรามันเป็นจานกระเบื้อง จานกระเบื้องเขาเอาไว้ใส่ข้าว จานกระเบื้องถ้ามันแตกร้าวแล้วเขาโยนทิ้งใส่ถังขยะ ถ้าไปหาครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่เป็นธรรม เห็นไหม นี่มันบ้องตื้น ครูบาอาจารย์ที่บ้องตื้นนี่มันเป็นประโยชน์อะไรกับเราล่ะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมขึ้นมา มันไม่ใช่บ้องตื้น มันมีเหตุมีผลไง

ถ้าไม่มีเหตุมีผล เห็นไหม ดูสิ เวลาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วรุกขมูลเสนาสนัง ให้เข้าป่าเข้าเขาไป ให้อยู่ในเงื้อมผา ให้อยู่ในที่สงบสงัด ให้ค้นคว้าไง ให้ค้นคว้าให้มีความรู้จริงขึ้นมา นี่ในวงปฏิบัติ เห็นไหม แต่ถ้าในทางการศึกษา บวชมาแล้วต้องมีการศึกษา บวชมาแล้วต้องมาเรียน ไอ้เรียนน่ะใครๆ ก็เรียน อุปัชฌาย์ก็ให้วิชามาแล้ว แต่เราจะมีความจริงขึ้นมาในหัวใจเราหรือเปล่าล่ะ

ถ้าเรามีความจริงขึ้นมาในหัวใจเรา เราทำให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นความจริง เวลาบวชมาแล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านให้เป็นการศึกษา เราก็ต้องไปศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ศึกษาแล้วเราต้องศึกษาบาลีเพื่อจะเป็นกุญแจไขตู้พระไตรปิฎก จะเข้าไปศึกษาความจริง นั่นเป็นภาคปริยัติ นั้นคือภาคการศึกษา ถ้าภาคศึกษามาๆ ก็ต้องมีการศึกษาก่อน ถ้าไม่มีการศึกษาก่อนเราจะไม่มีปัญญา เราจะไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราศึกษาเราก็ศึกษาได้ ในวงกรรมฐานเราก็ศึกษาทั้งนั้น องค์ไหนบ้างที่บวชมาแล้วไม่ค้นคว้าตำรับตำรา พระไตรปิฎกก็มีอยู่แล้ว เราศึกษามาเราไม่ได้ไปสอบเอานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เราศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ

เราศึกษามาเพื่อปฏิบัติ เราไม่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นสัญญาที่จำว่าเป็นความรู้ของเรา ให้กิเลสมันเห่อเหิมขึ้นมาว่าฉันมีความรู้มาก เพราะฉันได้มีใบรับรองรับประกันว่าฉันมีความรู้ขนาดไหน แต่ถ้าเราปฏิบัติ เห็นไหม เราหาครูหาอาจารย์น่ะ เราหาครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริง เราไม่หาครูอาจารย์บ้องตื้น ถ้าหาครูอาจารย์บ้องตื้น มันตื้นๆ มันผิวเผิน มันผิวเผินนี่มันไม่กินใจหรอก

ถ้ามันผิวเผินมันพูดสิ่งใดมาก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์เลย ทำสิ่งใดมาก็เหลวไหล ดูสิ ถ้าหัวมันไม่ส่าย หางมันไม่กระดิก ถ้าหัวมันส่าย หางมันกระดิกไปหมด ถ้าครูบาอาจารย์บ้องตื้น เราพลัดพรากจากอุปัชฌาย์มา เราหาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ถ้ามีครูอาจารย์ที่ไหนเป็นที่พึ่ง เราขอนิสัยจากครูบาอาจารย์นั้น นี่ขอนิสัย เห็นไหม เรามีความผิดความถูกสิ่งใดก็ให้ครูบาอาจารย์คอยบอกคอยสั่งคอยสอนคอยติคอยเตียน

สิ่งต่างๆ เห็นไหม นี่อุปัชฌาย์วัตร อาจริยวัตร สัทธิวิหาริก มันมีวัตรปฏิบัติร่วมกัน ถ้ามีวัตรร่วมกัน ถ้าไม่บ้องตื้น เห็นไหม พอมันอยู่ด้วยกันมันจะรู้ จะรู้ว่าท่านมีคุณธรรมหรือไม่ เราคิดสิ่งใด เรามีความทุกข์ยากอย่างไรในหัวใจของเรา เราจะมีที่พึ่งอย่างใด บวชมาแล้วด้วยกิเลสมันก็บีบบี้สีไฟในหัวใจ เขาอยู่ทางโลกเขามีพ่อมีแม่ เขามีญาติมีพี่น้อง เขามีความอบอุ่น เขาดูแลรักษากัน เราบวชมาแล้วก็เป็นคนอนาถา บวชมาแล้วใครจะดูแลเรา มันวิตกวิจารณ์ไปหมด

เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติเข้าป่าเข้าเขาไปใครจะดูแลเรา ข้าวปลาอาหารใครจะคิดถึงเราบ้างหรือเปล่า เราไปแล้วจะมีคนระลึกถึงเราหรือไม่ เราเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก กิเลสมันบีบคั้นมาทั้งนั้น กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจทั้งนั้น ฉะนั้น เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าท่านดูแลๆ โดยความเสมอภาค ด้วยความเป็นธรรม สิ่งที่ได้มาได้มาเป็นของส่วนกลาง เวลาจะเป็นผู้น้อยหรือเป็นผู้ใหญ่ก็แล้วแต่มันก็มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เหมือนกัน มันก็ต้องจำเป็นใช้สอยเหมือนกัน

ถ้าท่านเป็นธรรม ท่านจะให้เสมอภาค ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ทีนี้ในหมู่คณะของเรา เห็นไหม บางคนธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์คนนี้ชอบอย่างนั้น ธาตุขันธ์คนนี้ไม่ชอบอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่การเอารัดเอาเปรียบ นี่การเห็นน้ำใจต่อกัน เพราะสิ่งนี้เขาใช้ไม่ได้ ใช้แล้วมันเกิดภูมิแพ้ มันเกิดต่างๆ ในวงกรรมฐานเราจะรู้ขนาดนั้นนะ สิ่งใดที่คนอื่นเขาใช้ไม่ได้ เขาไม่อยากใช้ เขาใช้แล้วเป็นโทษ ให้คนอื่นแทนไปซะ

แต่ถ้าเป็นทางโลกต้องเสมอภาค ต้องมีค่าเท่ากัน ต้องแบ่งเหมือนกัน มันจะเหมือนกันไปได้อย่างไร ในเมื่อจริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน มีความเสมอภาคๆ โดยธรรมไง ถ้าเสมอภาคโดยโลกมันต้องเอาไม้บรรทัดวัดเลยล่ะ ต้องได้เท่ากันทุกอย่างหมดเลย แล้วอีกคนหนึ่งต้องการใช้มาก อีกคนต้องการใช้น้อย น้อยนี่ก็เอาไปเก็บไว้ทำไมให้เป็นภาระ ไอ้ที่มากก็ขาดแคลนของเขา นี่ความเสมอภาคมันเสมอภาคโดยธรรมอย่างนี้ มันไม่ได้เสมอภาคต้องได้เหมือนกันได้เท่ากันทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนนิสัยไม่เหมือนกัน นี้การดูแลทางธาตุขันธ์ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ท่านไม่บ้องตื้น

ในดวงใจทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจว้าเหว่ ในวัฏสงสารนี้มีความทุกข์ความยากทุกดวงใจ ในเมื่อมีกิเลสครอบงำอยู่ ไม่มีดวงใจใดมีความสุขมีความรื่นเริงตามความเป็นจริงหรอก เว้นไว้แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ถ้าจิตเดิมแท้จิตมันเข้าไปถึงความสงบระงับได้ มันมีความผ่องใสมีความสงบ เห็นไหม นั้นน่ะมันเป็นที่พึ่งได้ มันเป็นความจริงอันนั้นได้

แต่ถ้าครูบาอาจารย์บ้องตื้น นี่พลังจิตๆ ถ้าพลังจิตทำมาทำไม ทำพลังจิตทำมาด้วยความมิจฉาทิฏฐิใช่ไหม ทำมาด้วยความสมุทัยใช่ไหม ด้วยความลุ่มหลงใช่ไหม ถ้าไม่เป็นความลุ่มหลง อันนั้นมันเป็นเป้าหมายเหรอ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านให้ทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบเข้ามามันถึงมีกำลัง เราต้องการกำลังเท่านั้น เราต้องการให้จิตมันสงบเข้ามาให้มันมีกำลังขึ้นมา ให้มันไม่เป็นภาระรุงรังเท่านั้น แล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญาไป ทำวิปัสสนาขึ้นไป เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามเป็นจริง ไม่ใช่บ้องตื้น บ้องตื้นนี่ทำให้มีพลังขึ้นมา แล้วมันจะมีปัญญา จะเกิดปัญญา มันจะเกิดมาได้อย่างไร ฤาษีชีไพรถ้ามันทำความสงบเข้ามาแล้วเป็นปัญญาขึ้นมา ฤาษีชีไพรก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส ฌานสมาบัติได้หมดเลย เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเรามีความเห็นเหมือนเรา มีเสมอภาคเหมือนเรา สามารถสั่งสอนคนอื่นได้ มีความรู้เท่าๆ เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สนใจเลย เพราะอะไร เพราะเรายังทุกข์อยู่ เวลาเข้าถึงความสงบมันก็มีความสงบ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันก็ผ่องใส มันก็มีความสุขความสงบระงับชั่วคราว เวลามันคลายตัวออกมาแล้วมันมีอะไรที่มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาบ้างล่ะ

เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ การค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ไปศึกษากับเขามา ถ้าการไปค้นคว้าอยู่ตัวเองยังไม่รู้ใช่ไหม แต่ขนาดเรายังไม่รู้ แต่อุทกดาบส อาฬารดาบสก็รับประกัน เห็นไหม เข้าสมาบัติได้สมาบัติ ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ทำได้เหมือนเราเลย มีความรู้เหมือนเรา เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธเลย ปฏิเสธทั้งนั้น แล้วโดยหลักการเจ้าชายสิทธัตถะยังปฏิเสธมาแล้วมารื้อค้นขึ้นมาด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณนี่ญาณชำระอาสวขัย ทำลายอวิชชาในดวงใจ มันทำอย่างไร

นี่ไง ครูบาอาจารย์ไม่บ้องตื้น มันมีเสต็ปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เขาดูแลกันอย่างนี้ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านดูแลกันอย่างนี้มันถึงย้อนกลับมา สิ่งที่ดูแลอยู่อย่างนี้มันมาจากไหน เราจะปลูกต้นไม้ เราจะมีกระถางต้นไม้หรือเปล่า เรามีดินหรือยัง เรามีเม็ดพันธุ์หรือยัง เรามีน้ำ เรามีปุ๋ยไหมที่จะดูแลต้นไม้ต้นนี้ไป นี่ก็เหมือนกัน บวชมาแล้วเธอจงเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ กิจ ๔ อย่างของสงฆ์ไง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง มีอาหาร เจ็บไข้ได้ป่วยก็ด้วยน้ำมูตรเน่า ยารักษาโรค อยู่ในเรือนว่าง ทำไมต้องทำตรงนั้นล่ะ ทำตรงนั้นน่ะ ครูบาอาจารย์ สิ่งที่เราจะประพฤติปฏิบัติมันต้องมีที่มาที่ไป

ถ้ามีที่มาที่ไป ดูสิ ฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาสเขา ในปัจจุบันนี้ผู้สอนที่เป็นฆราวาสน่ะ มรรคผลนิพพานทั้งนั้น เวลานักบวชพระเรานี่สอนเรื่องทำทาน แต่ฆราวาสเขาสอนเรื่องนิพพานนะ แล้วเราก็ไปศึกษากันหมดเลย เขาสอนเรื่องนิพพานเลย หลับหูหลับตาไปตื่นขึ้นมาเป็นพระอรหันต์หมดเลย แต่ทำไมพระมาสอนเรื่องทาน ต้องเสียสละ ต้องทำทาน ก็เหมือนกระถางต้นไม้ ในเมื่อจิตมันสกปรก จิตมันครอบงำไปด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่รู้เขาใช้ปัญญาตรรกะ ใช้ปรัชญาใคร่ครวญกัน

ถ้ามีสติปัญญา ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราสอนนั้นน่ะ ปัญญาอบรมสมาธิ นี่มันไม่มีสมาธิ ไม่มีสิ่งใดนี่มันบ้องตื้น จิตฉวยเอาตามความพอใจของกิเลส ไม่ใช่หยิบฉวยโดยธรรมนะ หยิบฉวยเอาโดยตามกิเลสเพราะอะไร เพราะมีครูบาอาจารย์วางรากฐานมา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ เวลาจะเผยแพร่ธรรมนะ ต้องเป็นภิกษุสงฆ์ หรือไม่ก็ต้องเป็นอริยบุคคล ถ้าไม่อย่างนั้นจะเผยแพร่ธรรมไม่ได้ นี่ก็อิงไง ครูบาอาจารย์ท่าวางรากฐานมาไง ถ้าลองไม่มีรากฐานมาพูดไปสิ่งใดใครจะเชื่อ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาพูดถึงก็พูดถึงอริยสัจ สิ่งนี้เป็นสัจธรรม สิ่งนี้ต่างๆ แล้วก็หยิบฉวยเอา หยิบฉวยมาบอกว่านี่เป็นยา นี่ฆราวาสเขาสอนธรรมกัน แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม สมัยหลวงปู่มั่นเราจะบวชต้องเป็นปะขาว ต้องไปฝึกหัดการขานนาค ฝึกหัดตัดเย็บบริขาร ฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติ ฝึกหัดนั่นน่ะเตรียมตัว เตรียมตัวเตรียมใจขึ้นมา มันรู้ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ถ้ารู้มันก็อยู่แนวทางนั้นไง เวลาข้อปฏิบัติก็เพื่อความสงบระงับไง เพื่อให้ใจอยู่กับเราไง ไม่ให้สิ่งใดเลย นี่พลังจิตๆ พลังจิต ดูสิ ใครมันก็ทำได้ ในลัทธิศาสนาอื่นๆ เขาก็ทำภาวนาเหมือนกันทั้งนั้น แล้วพลังจิตอะไร พลังจิตอ้อนวอนเอาใช่ไหม พลังจิตนึกคิดเอาเองใช่ไหม นี่มันเอามาจากไหน

ถ้ามันบ้องตื้น ความบ้องตื้นมันผิวเผิน มันบ้องตื้นมาก มันไม่เป็นความจริงเลย ถ้าเป็นความจริง ครูบาอาจารย์อย่างที่ว่าจะบวช หลวงปู่มั่นท่านจะวางรากฐานขึ้นมาเลย พอวางรากฐานขึ้นมาเราก็บอกว่า มันเป็นเรื่องสมัยนั้น คนยังไม่มีการศึกษา สมัยนี้โลกเจริญทุกคนก็มีปัญญาหมดแล้ว ปัญญากิเลสทั้งนั้น ทิฏฐิมานะจรดฟ้า แล้วยังมาประพฤติปฏิบัติ เอาใจอยู่ไหม ลองทิฏฐิมานะจรดฟ้านี่ใจมันสงบได้ไหม ถ้าใจมันไม่สงบมันจะเอาสัมมาสมาธิมาจากไหน โดยพื้นฐาน ดูสิ เขาจะปลูกต้นไม้เขาต้องมีพื้นดินของเขา เขาต้องมีความพร้อมของเขา จิตควรแก่การงาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา ในเรื่องของทาน มันได้บุญ บุญแล้วไปไหน ก็ไปเกิดบนสวรรค์ ไปเกิดสวรรค์แล้วมันก็ไปเวียนตายเวียนเกิด พอมีบุญกุศลให้ถือเนกขัมมะ ทำจิตใจให้ควรแก่การงานท่านถึงจะเทศน์อริยสัจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์อริยาสัจ เทศน์แต่นักปฏิบัติ เทศน์แต่ผู้เป็นนักรบ แต่ถ้าเป็นฆราวาสเขาจะเทศน์วางพื้นฐานมาก่อนให้หาหัวใจของตัวให้เจอ ถ้าใจของตัวเจอ เห็นไหม อริยสัจมันอยู่ที่ไหน ทุกข์มันอยู่ที่ไหน เวลาว่าทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แล้วมันกำหนดที่ไหน ถ้าเราไม่รู้จักจุดที่ทุกข์มันอยู่แล้วเราจะไปชำระล้างมันได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าว่าทำความสงบของใจ ครูบาอาจารย์ท่านสอนทำสมาธิ ทำความสงบของใจเป็นสมถะ สมถะคือจิตสงบระงับเข้ามา แล้วบอกว่าสมถะมันไม่มีปัญญา พูดถึงปัญญาไอ้นั่นมันปัญญาของกิเลส ปัญญาของอวิชชา ปัญญาของความไม่รู้ อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วความไม่รู้มันเป็นปัญญาได้อย่างไร ก็ตัวมันไม่รู้ แต่มันไปท่องจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไง ก็ศึกษามาไง นักธรรมเอก เห็นไหม บาลีกี่ประโยค? ศึกษามาจากไหน ก็ศึกษามาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วจากใคร ก็จากความไม่รู้ไง ก็จากอวิชชาไง ก็จากที่ไปท่องจำมาไง แล้วก็นี่พลังงานไง ไอ้บ้องตื้น! มันผิวเผินทั้งนั้น มันบ้องตื้น บ้องตื้นแล้วเราทำอย่างไรกัน กรรมฐานเราทำอย่างไรกัน

กรรมฐานของเรา ดูสิ ถ้ามีการศึกษาก็บอกนี่ไม่มีการศึกษา ดูถูกการศึกษา ศึกษาแล้วศาสนาอยู่ได้อย่างไร ก็ศาสนาอยู่ได้ด้วยสัจจะความจริงไง ความจริงที่เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติ ความจริงที่ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณที่มันเกิดขึ้นไง ถ้ามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันใช่ความจริงเหรอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามากับใคร ไม่มีธรรมะแม้แต่ข้อเดียว ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ศาสดาเก๊ทั้งนั้น นี่ศึกษามาแล้ววางทิ้งหมดเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา นั่งลงอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ศึกษามาจากใคร ศึกษามาจากใจ

ใจที่มันทุกข์ยาก ใจที่มันไปศึกษากับเขามา มันทุกข์ยากมาหมดแล้ว เห็นไหม นี่วางหมดเลย ระลึกถึงความสุขที่เป็นราชกุมารที่อยู่โคนต้นหว้านั้น ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมันสงบระงับเข้ามาอย่างไร ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่ความสุขๆ ความสุขมันเกิดจากใจไง นี่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือจุดเริ่มต้นไง ถ้าไม่มีจุดเริ่มต้นมันบ้องตื้น บ้องตื้นมันเร่ร่อน มันไร้สาระ แล้วบอกทำพลังของจิต พลังของจิตใครเป็นเจ้าของ ใครมีสติ ใครบริหารจัดการ ถ้าไม่มีใครบริหารจัดการ อันนั้นเป็นมิจฉา มิจฉาเพราะอะไร เพราะมันขาดสติ

แล้วขาดสติเป็นสมาธิได้อย่างไร อ้าว คนเคลิบเคลิ้มเป็นสมาธิไม่ได้เหรอ ก็มิจฉาไง มิจฉาสมาธิไง มิจฉาสมาธิคือสมาธิครอบงำ สมาธิก็อุปาทานหมู่ไง สมาธิก็คนชักนำไง ชี้นำให้เป็นสมาธิ เราต้องให้คนชี้นำไหม ถ้าคนชี้นำคนนอกใช่ไหม ไม่ใช่เราใช่ไหม แล้วจิตเราตามเขาไป ถ้ามันทำได้ก็บอก นี่อย่างนี้เสร็จแล้วเป็นสมาธิเป็นพลังของจิต เดี๋ยวมันจะเกิดปัญญา บ้องตื้น เหลวไหล

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่ทำอย่างนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นให้ฝึกหัดสติ การก้าวเดิน การเหยียด การคู้ การขบการฉัน ความเป็นอยู่ ท่านให้ฝึก อย่าดื้อดึง อย่าลองดี ความลองดีนั้นกิเลสเหยียบธรรม หลวงตาท่านบอกว่า เหมือนหมาบ้ากัดแทะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วยังเทศนาว่าการ เหยียบย่ำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วยังแสดงธรรมอยู่นั่น พอแสดงธรรมขึ้นมามันเกิดจากอะไร นี่มันบ้องตื้นไง

แต่ถ้าเป็นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า แม้แต่ตัวอักษรท่านยังเคารพบูชา เพราะตัวอักษรนั้นมันเป็นการสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านนั่งอยู่ที่ไหน ถ้าท่านนั่งสูงกว่าตัวอักษรท่านจะไม่ยอมนั่งเลย ท่านจะให้เก็บสิ่งนั้นขึ้นไว้ก่อน เพราะสิ่งนั้นเป็นสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นี่สิ่งที่เคารพบูชาๆ ตั้งแต่สื่อ เคารพบูชาแล้วเวลาทำ เพราะเคารพบูชา คนที่เคารพบูชา คนที่กตัญญูกตเวที มันจะกัดจะฉีกสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้นั้นได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ ท่านเคารพบูชาจากหัวใจของท่าน ถ้าท่านเคารพบูชาจากหัวใจของท่าน เห็นไหม สิ่งที่เคารพบูชามาจากไหน เพราะมันเห็นโทษไง คนที่จะเคารพบูชามันต้องเห็นโทษก่อน อะไรเป็นโทษล่ะ ไอ้ความเหิมเกริมนั่นไงเป็นโทษ ไอ้ความมักง่ายน่ะเป็นโทษ ไอ้ความเห็นแก่ตัวน่ะเป็นโทษ ไอ้ความที่อยากได้ธรรมอยากได้จนไม่มีเหตุมีผลน่ะเป็นโทษ

ความอยากมันอยากในธรรมและวินัย อยากในประพฤติปฏิบัติอันนี้เป็นมรรค อยากแล้วเราปฏิบัติไง ถ้าผิดถูกเราหาครูบาอาจารย์ อย่าบ้องตื้นสิ ถ้าบ้องตื้นเราเอาอะไรเทียบเคียงล่ะว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างใด ครูบาอาจารย์สอนอย่างใด แล้วเราทำไปแล้วมันเหลวไหล มันไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้เหรอ

ธรรมะนี่ตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีมานี่ มันเป็นอย่างนี้เหรอ แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำของท่านขึ้นมา ท่านมีความจริงขึ้นมา ท่านวางหลักวางเกณฑ์ขึ้นมาจนเป็นหลักเป็นเกณฑ์ จะเป็นสายกรรมฐานลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทำตามกันมา มันเป็นอย่างนี้เหรอ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเอาใจของผู้ที่คุณธรรมไว้ในอำนาจของตัวไม่ได้ ถ้ามันเอาใจไว้ในอำนาจของตัวแล้วมันก้าวเดินออกไปอย่างไร

จากที่ว่าปุถุชนและกัลยาณปุถุชนมันก็รู้เห็นชัดเจนแล้ว ปุถุชนคนหนา คนหนานี่นะ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้ายังอยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากให้คนนับหน้าถือตา นั่นล่ะบ่วงของมาร มันรัดคอตาย หลวงตาท่านสอนประจำ ไม่ติดเราแล้วนี่สบาย ไม่ติดเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่อยากดังอยากใหญ่อยากเหยียบหัวคน อยากให้คนยอมรับ มันติดตนเองก่อนไง มันใหญ่โตไปหมด มันก้าวเดินไปไม่ได้เลย เท้าแต่ละข้างมันใหญ่กว่าโลก มันยกเท้าไม่ขึ้น มันติดตัวเองไง

ถ้ามันไม่ติดตัวเอง ไม่ติดเราซะอย่างมันมีอะไรบ้างที่มันจะกระทบกระเทือนเรา ถ้ามันยังติดเราไง เพราะมันติดเรานี่ไง แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำอย่างไรของท่าน ท่านทำข้อปฏิบัติ ท่านดูแลหัวใจมาตลอด มันไม่บ้องตื้นไง ถ้ามันบ้องตื้น มันไร้สาระ มันไม่มีที่มาที่ไป พอไม่มีที่มาที่ไป เวลาสอนกันไปมันก็เป็นทฤษฎีเป็นความจำ เป็นทฤษฎีขึ้นมา ต้องทำอย่างนั้นๆ แล้วต้องให้ได้อย่างนั้น แล้วมันได้จริงหรือเปล่า

มันเป็นมิจฉา มิจฉาเพราะมันบ้องตื้น มันไม่มีเหตุมีผลรองรับ ถ้ามันมีเหตุมีผลรองรับนะ เหตุผลน่ะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง การสนทนาธรรม เวลาอ้าปากมานี่ก็เห็นลิ้นไก่แล้ว คนพูดถูกนะ คนพูดอยู่ในร่องในรอย มันไม่มีอะไรโต้แย้งหรอก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีอะไรขัดและแย้งกัน ตั้งแต่เริ่มต้นศีล สมาธิ ปัญญา จะไม่มีอะไรขัดไม่มีอะไรแย้งกันตลอดไปเลย แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดมาแย้ง เวลาทำสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง เวลาสมาธิแล้วจะมีปัญญาไปหมดเลย ถ้าใครทำสมาธิเป็นคนดีไปหมดเลย

สมาธินะ ถ้าเป็นคุณไสย เขาก็ทำของเขา คนที่ทำคุณไสยโดยอภิญญาที่เขาทำกัน เป็นคนดีตรงไหน มันทำคุณไสย มันทำให้เขาเดือดร้อนกันไป ถ้าไม่อาศัยสมาธิมันอาศัยอะไร มันก็อาศัยสมาธิ เป็นสมาธิแล้วมันต้องเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันเกิดขึ้นมาจากการลงทุนลงแรง จากใจดวงนั้น

ใจของเรา เราบวชมาเป็นพระ ทำไมถึงมาบวชล่ะ เรามาบวชเพราะเรามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ เราเห็นธรรมโอสถ เราเห็นทางออกของการเวียนว่ายตายเกิด จิตถ้ามันยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปอย่างนี้ คนจะสูงจะต่ำจะดีจะชั่วในโลกนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด

ฉะนั้น เราถึงเห็นว่าสิ่งที่เป็นทางโลก มันไม่ใช่ทางออกของเรา เราถึงได้เสียสละมาบวชเป็นพระ เรามาบวชเป็นพระเพื่อเหตุใด บวชเป็นพระเพื่อจะประพฤติปฏิบัติให้เห็นสัจจะความจริง ให้ออกไปจากวัฏสงสารนี้ ถ้าออกไปจากวัฏสงสารนี้ใครเป็นคนออก ใครเป็นคนออกจากวัฏสงสารนี้ ถ้าคนที่ออกจากวัฏสงสารนี้ ตัวตนนั้นมันอยู่ที่ไหน ถ้าตัวตนมันอยู่ที่ไหน เราก็กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะเข้าไปสู่ตัวตนอันนั้น เข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่จิตเดิมแท้

ถ้าเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี้มันสงบระงับเข้ามาอย่างไร ถ้าจิตเดิมแท้มันสงบระงับเข้ามามันเป็นปุถุชน กัลยาณปุถุชน แล้วเวลาจิตมันสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ตามความเป็นจริง นี่มันยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค ถ้ามันยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เราสนทนาธรรมกัน ใครปฏิบัติแล้วมันติดขัดอย่างไร สนทนาธรรมกัน หาช่องทางออกต่อไป ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ท่านเคยก้าวล่วงมาแล้ว เคยผ่านเส้นทางนี้ไปแล้วท่านจะคอยชี้นำเรา

คอยชี้นำเราเพราะอะไร เพราะท่านผ่านไปแล้วท่านจะบอกเราได้เลยว่า เราเริ่มต้นอย่างนี้มันถูกหรือผิด แล้วเราก้าวเดินไปนี่มันจะไปเจออุปสรรคสิ่งใด แล้วเราก้าวเดินไปมันจะเจออุปสรรคอย่างนั้นแน่นอน แต่ด้วยผู้ปฏิบัติถ้ายังปฏิบัติก็คิดว่าตัวเองทำ เพราะมันเป็นความมหัศจรรย์ แม้แต่จิตสงบแล้วมันก็มีความสุข จิตสงบแล้วมันก็ว่าสิ่งนี้เป็นความมหัศจรรย์ แต่พอมันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่เลย ถ้ายิ่งมหัศจรรย์เราพิจารณาไปแล้วถ้ามันปล่อยวางมันยิ่งโคตรมหัศจรรย์เลย โคตรมหัศจรรย์แล้วมันทำอย่างไรต่อไปล่ะ

ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านมาแล้วท่านจะรู้เลยว่า พัฒนาการของจิตมันจะเป็นอย่างใด แต่คนที่ปฏิบัติใหม่ เรายังไม่รู้ใช่ไหม เราเจอสิ่งใดเราก็มหัศจรรย์ๆ มหัศจรรย์ก็คือใช่ มหัศจรรย์ก็คือว่ามันสุดยอด ถ้ามันสุดยอดแล้ว ถ้ารักษาใจแค่นั้นมันเป็นไปไม่ได้ ดูจรวดสิ จรวดที่ยิงขึ้นบนอวกาศ เวลาหมดเชื้อเพลิงแล้วมันไปไหน

จิตก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีปัญญาทำความสงบของใจให้มันมั่นคงขึ้นมาแล้วใช้ปัญญาไป มันจะอยู่อย่างนั้นได้ไหม นี่พุทโธถึงทิ้งไม่ได้ไง พุทโธนี่ทิ้งไม่ได้เลย จะปฏิบัติสูงส่งขนาดไหน พุทโธจะต้องแนบตลอดไปเลย ต้องมีคำบริกรรมแนบตลอดไป เพราะต้องเติมเชื้อเพลิงตลอดไปไง เราจะพาจรวดนี้ให้ออกจากโลก เราจะพ้นจากแรงดึงดูดของมันไป ใช้พลังงานแค่ไหน เราจะใช้แรงขับแค่ไหน แล้วแรงขับที่มันขับออกไปแล้วแรงโน้มถ่วงมันดึงกลับไปกลับมานี่ด้วยความพิจารณาของเรา มันดึงไปดึงมา มันทำให้เราสับสนอยู่นี่ แล้วถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนามันก็ปล่อยเลย ตกสู่ทะเล ตกอยู่ทะเลทราย ตกมาเผาไหม้ ตกมาแล้วมันเผาไหม้หมดเลย เผาไหม้หมดเลยก็ว่างหมดเลย สบายหมดเลย มิจฉาไปเลย บ้องตื้น

ถ้าครูบาอาจารย์บ้องตื้น มันจะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้นแล้วสำคัญตนว่าเป็นนักปฏิบัติ สำคัญตนว่ามีคุณธรรมในหัวใจ มันเป็นความสำคัญ มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม เราขอนิสัย เรามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเรานี่ เห็นไหม ผู้ใหญ่นะ คนที่ผ่านโลกมาแล้วจะสั่งสอนผู้ที่ปฏิบัติใหม่ มันเริ่มต้นจากไม่เป็นอะไรเลย จะวางรากฐานกันอย่างไร ถ้าเริ่มต้นจากไม่เป็นอะไรเลย เราไม่เป็นอะไรเลย เห็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้วเขาเป็นเศรษฐีโลก เขาเป็นเศรษฐีธรรม เขามีคุณธรรม เราก็จะเลียนอย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่เป็นขึ้นมามันเป็นขึ้นมาจากมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เหมือนกัน ถ้าเราจะเป็นอย่างนั้น เราต้องกลับไปที่ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องไปทำความสงบของใจเข้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดจากมรรค เวลาพิจารณาไปแล้วมรรคสามัคคีมันรวมตน มันสมุจเฉทปหาน มันชำระล้างกิเลสเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา

พระโสดาบันละสังโยชน์ ๓ ตัว พระสกิทาคามีกามราคะปฏิฆะอ่อนลง พระอนาคามีกามราคะปฏิฆะขาดไป พระอรหันต์ละสังโยชน์เบื้องบน กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะอวิชชา นี่สังโยชน์อย่างละเอียด เขาจะเป็นกันตรงนั้น เขาเป็นพระอรหันต์กันด้วยมรรคญาณ เขาเป็นพระอรหันต์กันด้วยความเพียรชอบ เขาเป็นพระอรหันต์กันที่นั่น เขาไม่ได้เป็นพระอรหันต์ว่า ไปเห็นเขาทำอย่างนั้นแล้วทำตามเขา ไปเลียนแบบเขา เลียนแบบการกินการอยู่ เลียนแบบข้อวัตร เลียนแบบพฤติกรรม พฤติกรรมเขาเป็นพระอรหันต์ก็อยากจะเป็นแบบเขา มันไม่ใช่ บ้องตื้น

นั่นมันดำรงชีวิตประจำวันไง มันไม่ใช่เหตุและผลการเป็นพระอรหันต์ การเป็นพระอรหันต์มันต้องรู้สิ รู้ถึงที่มาตั้งแต่หัวใจของเราสิ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่บ้องตื้น ท่านถึงวางหลักการให้เราได้ก้าวเดิน ถ้าครูบาอาจารย์บ้องตื้นก็ อ้าว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ห่มไตรจีวร จีวรเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เราก็ห่มกันอยู่นี่ ไอ้เรานี่ไอ้พวกขี้กาก ห่มธงชัยของพระอรหันต์อยู่นี่ แล้วเป็นไรล่ะ ก็เป็นขี้กากไง ไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านห่มผ้ากาสายะ เห็นไหม นี่ธงชัยของพระอรหันต์

พวกเราเห็นทุกข์เห็นยากขึ้นมา เห็นทุกข์ในวัฏสงสารเราก็มาบวช บวชแล้วก็เป็นสมมุติสงฆ์ ก็ได้ห่มไตรจีวรเหมือนกัน แล้วเป็นพระอรหันต์ไหม ถ้าเราจะไปเลียนแบบให้เหมือนไปเห็นว่าเขาทำอย่างนั้น เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้น นี่ไง บ้องตื้น อยากจะเป็นอย่างนั้น แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็ให้ทำอย่างนั้น แต่ทำอย่างนั้นแบบนักศึกษา ทำแบบนั้นแบบค้นคว้า ศึกษาค้นคว้าแล้วพยายามบังคับใจให้เป็นแบบนั้น บังคับไง อาจริยวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ขอนิสัยแล้วอุปัฏฐากดูแล ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ไม่ใช่ครูบาอาจารย์บ้องตื้น

ครูบาอาจารย์บ้องตื้นจะเรียกร้องให้เอาอกเอาใจ แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมท่านให้เราทำเพื่อกดกิเลสของเรา ให้เราทำเพื่อว่า สิ่งที่อยู่ในใจของเรามันอหังการทั้งนั้น คนเสมอคน คนเท่าคน แล้วเราทำไมต้องเคารพบูชาล่ะ เคารพบูชาเพราะจิตใจท่านสะอาด กว่าที่จิตใจท่านสะอาด ท่านล้มลุกคลุกคลานมาแค่ไหน ท่านพยายามทำของท่าน ท่านสำรอกคายของท่าน นี่รอดตายมาทั้งนั้น ท่านปฏิบัติมาสละตาย สละทุกๆ อย่างเพื่อให้จิตใจของท่านได้วิวัฒนาการพัฒนาการมาจนเข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้น แล้วเราอยากเป็นอย่างนั้นๆ เราอยากเป็นอย่างนั้น เห็นไหม สิ่งที่ครูบาอาจารย์สอน สอนเพื่อจะขีดเส้น ศีลจะเป็นรั้วกั้นไม่ให้กิเลสมันเพ่นพ่าน

คนมันก็เหมือนคน แต่ทำไมเราเคารพบูชาครูบาอาจารย์ของเราล่ะ เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราเพราะว่าท่านได้สำรอก ท่านได้คาย สิ่งนั้นท่านรู้ว่ามันวิกฤติขนาดไหน ถ้ามันวิกฤติขนาดไหนแล้วตอนนี้เราจะทำตามๆ จิตใจของเราพอมันไปเจอไฟไหม้ฟางมันก็ว่าวิกฤติทั้งนั้น แต่ถ้ามันเป็นความจริงแล้ว เห็นไหม ที่เราเคารพบูชากันทำอย่างนั้น ฉะนั้น สิ่งที่เราทำ เราทำข้อวัตรปฏิบัติ ตัดผ้า ย้อมผ้า ปะผ้า ดูแลผ้า

สิ่งใดเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ไม่ใช่ว่าปะผ้าก็เอาผ้าเป็นสรณะ เป็นไตรสรณคมน์ ไม่ใช่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณคมน์ ผ้านี่คือข้อวัตรปฏิบัติ การผึ่ง การเก็บ การพับ เพื่อความเป็นระเบียบ บิณฑบาตมาได้สิ่งที่เป็นอาหารมา ครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ อย่างบิณฑบาตครูบาอาจารย์ได้อะไรมา จะใส่บาตรครูบาอาจารย์ทั้งนั้น อยากให้ครูบาอาจารย์ของเราได้ฉันสิ่งที่ดีๆ อยากให้ครูบาอาจารย์ฉันแล้วท่านจะได้สุขภาพแข็งแรง เพื่อเราจะได้มีร่มโพธิ์ร่มไทร เขาทำกัน เขาเคารพบูชากันด้วยหัวใจ มันไม่มีอะไรแอบแฝงเลย

แต่ถ้าบ้องตื้น มันบอกมันดีกว่า มันทำได้เนียนกว่า มันทำได้สวยงามกว่า อันนั้นมันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นมารยาท มันไม่มีสิ่งใดอยู่จริง มันไม่มีความจริงในใจเลย แต่ถ้ามีความจริงในใจ สิ่งนี้มันเป็นวิธีการ วิธีการที่เราจะบังคับใจของเรา เวลาปฏิบัติพุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ จิตเราสงบแล้วนี่ไม่ให้ส่งออก การส่งออกไป มันส่งออกจากจิต จิตมันมีพลังงานมันส่งออก ส่งออกไปสู่ความรู้สึกความนึกคิด ส่งออกไปรู้เห็นต่างๆ เรียกว่าส่งออก สิ่งที่ส่งออก ถ้าเราพุทโธๆ จิตมันสงบเข้ามานี่ มันสลัดทิ้งเข้ามา มันเป็นเอกเทศ มันเป็นหนึ่ง สมาธิคือจิตสงบที่ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ นั่นคือสมาธิ ถ้ามันฝึกออกใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ แล้วมันไปเกิดอย่างไร ไม่ใช่บ้องตื้นเหรอ

ทำสมาธิ เป็นพลังจิต แล้วมันจะเกิดปัญญา มันจะเกิดการวิวัฒนาการ วิวัฒนาการมันก็ธรรมะเป็นธรรมชาติไง โลกมันแปรปรวนอยู่นี่ไง เห็นไหม ทวีปเคลื่อนตลอดไปไง ถ้ามันจะเป็นก็เป็นแบบโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ มันแปรสภาพ แล้วแปรสภาพมันเป็นแร่ธาตุ แปรสภาพแล้วเป็นอย่างไร แปรสภาพเพราะวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้ไง ว่าทวีปเคลื่อนออกจากกันปีละ ๒ นิ้ว วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมด แล้วโลกนี้เป็นพระอรหันต์ไหม ทวีปเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า มันเคลื่อนของมันอยู่เป็นพระอรหันต์ไหม ไม่เป็น แต่วิทยาศาสตร์รู้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าส่งออก ส่งออกไปไหน ส่งออกไปมันก็ออกจากจิตไป มันส่งออกนอก แต่ถ้าไม่ส่งออกมันไปอยู่ไหน ไม่ส่งออก เราพุทโธนี่ จิตมันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันเกิดปัญญาล่ะ ปัญญามันเกิดจากปัจจุบันนี่มันเกิดอย่างไร ไม่ใช่ปัญญาอย่างนั้น มันปัญญาบ้องตื้น ตัวเองบ้องตื้น ไม่มีวุฒิภาวะยังสอนให้คนอื่นบ้องตื้น โดยการอ้างอิงว่าทำแบบธรรมวินัย โดยการอ้างอิง ก็อปปี้มา ทำให้เนียน ให้เหมือน มันไม่มีหรอก มันจะได้ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา คนจะสูงต่ำดำขาวขนาดไหนเวลาจะพ้นจากทุกข์พ้นจากด้วยมรรคทั้งนั้น แล้วมรรคใครเป็นคนชี้นำ

มรรคนี้ถ้าไม่ใช่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านจะวางข้อวัตรปฏิบัติให้พวกเราก้าวเดินได้อย่างไร ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน พยายามปฏิบัติให้จิตขึ้นมาตามความเป็นจริง ถ้าจิตไม่เป็นความจริงขึ้นมามันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่นั้นล่ะ แต่พอจิตถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ มันลึกลับมหัศจรรย์จนจะบอกใครไม่ได้เลย

มันลึกลับมหัศจรรย์จนบอกใครไม่ได้ ท่านมีอำนาจวาสนาขนาดไหนถึงได้วางเป็นข้อวัตรได้ไง พอข้อวัตรแล้วไปไหน จิตมันอยู่กับข้อวัตร จิตมันอยู่กับธรรมวินัย มันไม่ส่งออกไปทางโลก อย่างใดก็แล้วแต่มันก็ยังอยู่ในกรอบในเขต ถ้ามันสงบเข้ามา ถ้ามันพัฒนาการไป เดี๋ยวครูบาอาจารย์สอนเอง เดี๋ยวครูบาอาจารย์จะยกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วมันจะสู่สัจจะความจริง

ถ้าครูบาอาจารย์ไม่บ้องตื้น ท่านรู้อยู่ว่าวิวัฒนาการของจิตมันจะเป็นแบบใด แต่เราไม่มีวุฒิภาวะ จิตของเรายังหาไม่เจอ ทำสมาธิไม่เป็นคือไม่รู้จักจิต ใครทำสมาธิเป็นมันจะเห็นจากจิต นั่นล่ะจิตแท้ จิตจริงมรรคผลนิพพานจะเป็นความจริง เพราะเกิดจากความจริงกับความจริงด้วยกัน

จิตปลอม คือ จิตทำให้เนียน จิตทำให้เหมือน จิตทำแอบอ้าง จิตปลอม ความรู้ความเห็นปลอมหมดเลย มันเป็นกรรมฐานบ้องตื้น มันไม่เป็นกรรมฐานความเป็นจริง ถ้ากรรมฐานเป็นจริง เห็นไหม เขาจะไปดาวอังคารกัน หลวงตาบอกว่า กรรมฐานจรวด กรรมฐานดาวเทียม เดี๋ยวนี้เขาจะเอารัดเอาสั้น นั่นกรรมฐานจรวดกรรมฐานดาวเทียม มันออกนอกโลกไปแล้ว ดาวเทียมมันไม่ใช่ดวงดาวที่แท้จริง ดาวเทียมมนุษย์สร้างขึ้น นี่ก็เหมือนกัน กรรมฐานดาวเทียมไง

ทำให้เนียน ทำให้เหมือน แต่มันบ้องตื้น ไม่มีความจริง ฉะนั้น เราเอาความจริง ใครจะจริง ใครจะแท้ นั่นมันเป็นกรรมของสัตว์ ในเมื่อสัตว์มันมีวุฒิภาวะขนาดนั้น คนมีความรู้ขนาดไหน มันก็แสดงออกขนาดนั้นแหละ คนมีความรู้ความเห็นขนาดไหน มันก็แสดงออกได้เท่าความรู้ความเห็นของมัน เท่านั้นเอง แต่ผู้รู้จริงเขามี ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงท่านมี ท่านสังเวชไง ฉะนั้น เราจะประพฤติปฏิบัติกัน

พรุ่งนี้จะวันเข้าพรรษา เข้าพรรษาแล้วถ้าเราจะอธิษฐานธุดงควัตรต่างๆ บอกกันไว้ให้พอรู้กันว่า เขาอธิษฐานธุดงค์ข้อนั้นไว้ ฉะนั้น เวลาเขาทำไปแล้วมันจะได้ไม่ขวางตาคนอื่นไง แต่ถ้าเราไม่รู้ เขาทำอย่างนั้นทำไม เพราะเขาอธิษฐานของเขาไว้ สัจจะของเขา ฉะนั้น กรรมฐานเรานี่เขาจะคอยระวังกัน เขาจะให้โอกาสต่อกัน จะอยู่กันด้วยความเข้าใจกัน นี่สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะ เรามีแต่ความเพียร มีความวิริยะอุตสาหะ ทำคุณงามความดีของเราขึ้นมา แล้วคุณงามความดีของเราขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดจากใจของเรา เรารู้ของเรา เราเห็นของเรา ใครจะดูถูกเหยียดหยามเรื่องของเขา เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าในเขา ไอ้พระจรวดดาวเทียมมันมีความสุขของมันทั้งนั้น มันเดินทางรอบโลก มันทัศนะศึกษาทั่วโลก แต่ของท่านอยู่ในป่าในเขาท่านมีความสุขของท่าน

โลกมันมาจากไหน มึงยังหลงโลกกันอยู่เหรอ ถ้ามึงยังหลงโลกอยู่มึงจะหาโลกที่ไหน แต่ครูบาอาจารย์เราท่านเข้าใจในใจของท่าน ไอ้พวกนั้นยังทัศนะศึกษากันรอบโลก นั่นกรรมฐาน นั่นกรรมฐานของเขา ฉะนั้น ใครจะคิดเห็นเรื่องของเขา เราพัฒนาการของเรา เราทำใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง